โขน จัดเป็นนาฏกรรมที่มีความเป็นศิลปะเฉพาะของตนเอง ไม่ปรากฏชัดแน่นอนว่าคำว่า "โขน" ปรากฏขึ้นในสมัยใด แต่มีการเอ่ยถึงในวรรณคดีไทย เรื่องลิลิตพระลอที่กล่าวถึงโขนในงานแสดงมหรสพ ระหว่างงานพระศพของพระลอ พระเพื่อนและพระแพงว่า"ขยายโรงโขนโรงรำ ทำระทาราวเทียน" โดยมีข้อสันนิษฐานว่าคำว่าโขนนั้น มีที่มาจากคำและความหมายในภาษาต่าง ๆ ดังนี้
คำว่า "โขน" ในภาษาเบงคาลี ซึ่งปรากฏคำว่า "โขละ" หรือ "โขล" (บางครั้งเขียนด้วยคำว่า "โขฬะ") ที่เป็นชื่อเรียกของเครื่องดนตรีประเภทหนังชนิดหนึ่งของฮินดู ลักษณะและรูปร่างคล้ายคลึงกับตะโพนของไทย ไม่มีขาตั้ง ทำด้วยดิน ไม่มีสายสำหรับถ่วงเสียง มีเสียงดังค่อนข้างมาก จัดเป็นเครื่องดนตรี ที่ได้รับความนิยมในแคว้นเบงกอล ประเทศอินเดีย ใช้สำหรับประกอบการละเล่นชนิดหนึ่ง เรียกว่ายาตรา หรือ ละครเร่ที่คล้ายคลึงกับ ละครชาตรี โดยสันนิษฐานว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้ เคยถูกนำมาใช้ประกอบการเล่นนาฏกรรมชนิดหนึ่ง จึงเรียกว่า "โขล" ตามชื่อของเครื่องดนตรี
คำว่า "โขน" ในภาษาเบงคาลี ซึ่งปรากฏคำว่า "โขละ" หรือ "โขล" (บางครั้งเขียนด้วยคำว่า "โขฬะ") ที่เป็นชื่อเรียกของเครื่องดนตรีประเภทหนังชนิดหนึ่งของฮินดู ลักษณะและรูปร่างคล้ายคลึงกับตะโพนของไทย ไม่มีขาตั้ง ทำด้วยดิน ไม่มีสายสำหรับถ่วงเสียง มีเสียงดังค่อนข้างมาก จัดเป็นเครื่องดนตรี ที่ได้รับความนิยมในแคว้นเบงกอล ประเทศอินเดีย ใช้สำหรับประกอบการละเล่นชนิดหนึ่ง เรียกว่ายาตรา หรือ ละครเร่ที่คล้ายคลึงกับ ละครชาตรี โดยสันนิษฐานว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้ เคยถูกนำมาใช้ประกอบการเล่นนาฏกรรมชนิดหนึ่ง จึงเรียกว่า "โขล" ตามชื่อของเครื่องดนตรี
- คำว่า โขน ใน ภาษาทมิฬ มีจุดเริ่มต้นจากคำว่า โขล ซึ่งมีความใกล้เคียงกับ โกล หรือ โกลัม ใน ภาษาทมิฬหมายความถึง เพศ หรือ การแต่งตัว การประดับตกแต่งร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ให้สวยงามตามแต่ลักษณะของเพศหญิง และเพศชาย หรือ อีกความหมายหนึ่งของโกล หรือ โกลัม คือการใช้แป้งโรยประดับตกแต่งหน้าบ้าน
เครื่องแต่งกายของตัวละครในการแสดงโขน
เครื่องแต่งกายสำหรับใช้ในการแสดงโขน ใช้การแต่งกายแบบ ยืนเครื่อง ซึ่งเป็นการแต่งกายจำลอง เลียนแบบ จากเครื่องทรงต้นของ พระมหากษัตริย์แบบโบราณ ที่มีความสวยงามวิจิตรตระการตา แบ่งเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายมนุษย์ เทวดา พระ นาง ฝ่ายยักษ์และฝ่ายลิง สำหรับบ่งบอกถึงยศถาบรรดาศักดิ์และตำแหน่ง
นอกจากนั้นตัวละครอื่น ๆ จะแต่งกายตามแต่ลักษณะของตัวละครนั้น ๆ เช่นฤๅษี กา ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ สวมหัวโขน ซึ่งมีการกำหนดลักษณะ และสีไว้อย่างเป็นระบบและแบบแผน ใช้สำหรับกำหนด ให้ใช้เฉพาะกับตัวละคร สีของเสื้อเป็นการบ่งบอกถึงสีผิวกาย ของตัวละครนั้น ๆ เช่น พระรามสีกายเขียวมรกต พระลักษณ์สีกายเหลืองบุษราคัม ทศกัณฐ์สีกายเขียวมรกตหนุมานกายสีขาวมุกดา สุครีพกายสีแดงโกเมน เป็นต้น
ซึ่งเครื่องแต่งกายในการแสดงโขนในของ ตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์และตัวลิง มีดังนี้
ตัวพระ เช่น พระรามพระลักษณ์พระพรตพระสัตรุต : ผู้แสดงตัวพระ จะสวมเสื้อแขนยาวปักดิ้น และเลื่อม ประดับด้วยปะวะหล่ำ มีอินธนูที่ไหล่ และพาหุรัด สวมกรองศอทับด้วยทับทรวง สังวาลและตาบทิศ ส่วนล่างสวมสนับเพลาไว้ข้างใน นุ่งผ้านุ่งยกจีบโจง ไว้หางหงส์ทับสนับเพลา ด้านหน้ามีชายไหว และชายแครงห้อยอยู่ ประดับด้วยสุวรรณประกอบ รัดเอวด้วยรัดพัสตร์ คาดปั้นเหน่ง ศีรษะสวมชฎา ประดับด้วยดอกไม้เพชรที่ด้านซ้าย ดอกไม้ทัดที่ด้านขวา มีอุบะ ตามตัวสวมเครื่องประดับต่าง ๆ ประกอบด้วยกำไลเท้า
ตัวนาง เช่น นางสีดา นางเบญจกาย นางสุพรรณมัจฉา : ผู้แสดง ตัวนาง จะสวมเสื้อในนางแขนสั้นเป็นชั้นใน มีพาหุรัดแล้วห่มสไบทับ ทิ้งชายไปด้านหลังยาวลงไปถึงน่อง ประดับด้วยปะวะหล่ำ สวมกรองศอ สะอิ้งและจี้นาง ส่วนล่างนุ่งผ้านุ่งยกจีบหน้า คาดปั้นเหน่ง ศีรษะสวมมงกุฎ รัดเกล้าหรือกระบังหน้าตามแต่ฐานะของตัวละคร ประดับด้วยดอกไม้ทัดที่ด้านซ้าย ดอกไม้ทัดที่ด้านขวา มีอุบะ ตามตัวสวมเครื่องประดับต่าง ๆ ประกอบด้วยธำมงรค์ กำไลเท้า แหวนรอบ กำไลตะขาบ กรรเจียกและทองกร แต่เดิมตัวนางที่เป็นตัวยักษ์เช่น นางสำมนักขา นางกากนาสูร จะสวมหัวโขน แต่ภายหลังมีการแต่งหน้าไปตามลักษณะของตัวละครนั้น ๆ โดยไม่สวมหัวโขน
ตัวยักษ์ เช่น ทศกัณฐ์พิเภกอินทรชิตมังกรกัณฐ์ : ผู้แสดงตัวยักษ์นั้น เครื่องแต่งกายส่วนใหญ่ คล้ายกับตัวพระ จะแตกต่างกันที่การนุ่งผ้าเท่านั้น ตัวยักษ์จะนุ่งผ้าไม่มีหางหงส์แต่มีผ้าปิดก้นลงมาจากเอว ส่วนศีรษะสวมหัวโขน ตามลักษณะของตัวละคร ซึ่งมีอยู่ประมาณ ร้อยชนิด การแต่งกายของตัวยักษ์ คือ ทศกัณฐ์ ซึ่งเป็นพญายักษ์ตัวสำคัญที่สุดในการแสดงโขน สวมเสื้อแขนยาวปักดิ้นและเลื่อม ซึ่งในวรรณคดีสมมุติเป็นเกราะ ประดับด้วยแหวนรอบ ปะวะหล่ำ มีอินธนูที่ไหล่ สวมกรองศอทับด้วยทับทรวง พวงประคำคอ สังวาลและตาบทิศ ส่วนล่างสวมสนับเพลาไว้ข้างใน นุ่งผ้านุ่งยก ด้านหน้ามีชายไหวและชายแครงห้อยอยู่ ผ้าปิดก้นอยู่เบื้องหลัง รัดอกด้วยพระอุระ รัดเอวด้วยรัดพัสตร์ คาดปั้นเหน่ง ศีรษะสวมหัวโขนหัวทศกัณฑ์ ตามตัวสวมเครื่องประดับต่าง ๆ ประกอบด้วยกำไลเท้า ธำมงรค์ กรรเจียกและทองกร ถืออาวุธคือคันศร
การตั้งและการเก็บรักษาหัวโขน
หัวโขน สำหรับใช้สวมใส่ศีรษะในการแสดงโขนนั้น เป็นการแสดงออก ทางด้านความสำคัญของตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ มีความประณีตสวยงาม ตามแบบฉบับของช่างทำหัวโขน ที่สามารถสร้างสรรค์หัวโขน ให้มีลักษณะและรูปลักษณ์ที่สื่อถึงเพศ เผ่าพงศ์วงศ์ชาติเชื้อ หรือแม้แต่การแสดงออกด้วยอารมณ์ทางสีหน้า บางหัวสร้างขึ้นเพื่อ เป็นการชี้บ่งบุคลิกลักษณะเฉพาะของตัวละคร ในเรื่องรามเกียรติ์ บางหัวถูกสร้างขึ้น ให้เปรียบเสมือนศีรษะของเทพ ผู้เป็นที่เคารพนับถือ กราบไหว้บูชา เช่น หัวโขนพระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์พระพิฆเนตร เป็นต้น ทำให้ได้รับการยกย่องเป็นของสูงและมงคลวัตถุ มีศักดิ์และความสำคัญเหนือกว่าหัวโขนปกติธรรมดาทั่วไป
หัวโขน เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางด้านศิลปะ ที่มีเอกลักษณ์และทรงคุณค่าของไทยเป็นสิ่งที่ต้องเก็บรักษา ให้คงอยู่ในสภาพดีตลอดเวลา ทะนุถนอม ไม่ให้ชำรุดทรุดโทรมเสียหาย ด้วยการเก็บรักษาไว้ใน "ลุ้ง" ซึ่งเป็นภาชนะสำหรับใช้เก็บรักษาหัวโขนโดยเฉพาะ ทั้งก่อนและหลังแสดง แต่เดิมทำด้วยเครื่องจักสาน ลงรัก น้ำหนักเบาเคลื่อนย้ายได้สะดวก ปัจจุบันเปลี่ยนมาทำด้วยสังกะสีแทนลักษณะรูปทรงกระบอกสั้น ประกอบด้วยตัวลุ้งสำหรับใส่หัวโขนและฝาครอบ กึ่งกลางของลุ้งจะเป็นที่ตั้งทวนหรือหลักเตี้ย ลักษณะเป็นแป้นกลม ใช้สำหรับรองรับหัวโขน หรือมงกุฎ ชฎา
ลุ้ง แบ่งออกเป็นสองชนิด คือ ลุ้งสำหรับเก็บหัวโขน มีมงกุฎทรงยอดเช่น พญาทูษณ์ มัยราพณ์ พญาขร สัทธาสูร วิรุญจำบัง บรรลัยจักร พิเภก ชิวหา กุเวรนุราช เปาวนาสูร บรรลัยกัลป์ วันยุวิก รามสูร ทศคีรีวัน ทศคีรีธร ทัพนาสูร สวาหุ มารีศ ตรีเมฆ มังกรกัณฐ์ ทศกัณฐ์ ลักษณะของลุ้งชนิดนี้จะเป็นฝารูปกรวย
การเก็บรักษาหัวโขนที่ใช้ในการแสดงนั้น ถ้าไม่เก็บไว้ใน "ลุ้ง" เพื่อป้องกันความเสียหาย จะต้องนำหัวโขนหน้าต่าง ๆ มาวางไว้บน"ทวน"ที่ทำจากไม้ นำมากลึงขึ้นรูปเป็นหลักทวน ฐานมีลักษณะแป้นกลม ตรงปลายทวนมีแป้นสำหรับรองรับหัวโขนสูงประมาณหนึ่งฟุต และต้องตั้งให้อยู่สูงจากพื้นและทางเดิน ไม่นำไปวางไว้ในที่ต่ำ ที่สามารถเดินข้ามไปมาได้ ไม่ทำหัวโขนร่วงหล่นลงพื้น ไม่ปล่อยให้หัวโขนถูกแมลงสาปกัดแทะ หรือกระทำการใด ๆ ที่เป็นการแสดงออกถึงความไม่เคารพในครูบาอาจารย์
เนื่องจากหัวโขนที่ใช้ในการแสดงนั้น ถือเป็นของสูงและมีครู ที่ต้องให้ความเคารพบูชา ทั้งในเวลาแสดงและเวลาปกติ มักนิยมจัดเก็บโดยการแบ่งออกเป็นพวก ๆ เป็นส่วนสัดเป็นส่วนเช่น ฝ่ายมนุษย์ ฝ่ายยักษ์และฝ่ายลิง โดยเฉพาะหัวโขนหน้ายักษ์ และหน้าลิงต้องเก็บรักษาไว้คนละด้าน มีหัวพระฤๅษีภรตมุนี หรือหัวพ่อแก่วางคั่นกลาง ห้ามนำมาเก็บรวมกันโดยเด็ดขาด ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ รวมทั้งห้ามนำหัวโขนหรือเครื่องแต่งกายสำหรับแสดง มาเก็บรักษาไว้ที่บ้านโดยเด็ดขาด ต้องนำไปฝากไว้ที่วัดเท่านั้นเพราะถือกันว่าเป็นของร้อน ถ้าผู้ใดเก็บรักษาไว้ จะมีแต่เหตุเดือดร้อนวุ่นวายไม่สิ้นสุด หรือแม้กระทั่งห้ามนำรูปวาดของตัวละครใด ๆ ก็ตามในเรื่องรามเกียรติ์มาเก็บไว้เช่นกัน ปัจจุบันข้อห้ามดังกล่าวได้สูญหายไปตามกาลเวลา ทำให้มีผู้นิยมนำหัวโขนไปเป็นของประดับตกแต่งหรือของที่ระลึกแทน
ที่มารูปภาพ : thaiarthouse.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น